ดื่มเบียร์อย่างไร? ให้ดูเก๋…
กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะทุกคน!
วันนี้เบียร์ บาซูก้ามีบทความดีๆมาฝากเกี่ยวกับวิธีการดื่มเบียร์แบบมืออาชีพกันค่ะ เพราะอย่างที่รู้ๆกันว่า ขนาดตอนนี้เองเราๆก็ยังเถียงกันไม่จบเลยว่าเราควรจะเก็บรักษาเบียร์อย่างไร รินอย่างไร หรือแม้แต่ว่าจะดื่มอย่างไรดี เบียร์ บาซูก้าก็เลยคิดว่าควรเริ่มกันตั้งแต่วิธีการเลือกเบียร์ เลือกแก้ว แล้วก็เลือกอาหารที่จะมาเข้าคู่กันไปเลยดีกว่าค่ะ แล้วหลังจากนั้นค่อยเข้าสู่บทเรียนว่าด้วยวิธีการเก็บรักษาเบียร์ การรินเบียร์ แล้วก็การดื่มเบียร์ เอาแบบ Beer Sciences 101 กันไปเลยค่ะ เบียร์ แก้ว และ Food Pairing
1. เลือกเบียร์ให้โดน
อย่าคิดแค่ว่าเบียร์เนี่ย
ขอแค่รินออกมาจากถังก็โอเคแล้วนะคะ
ความจริงแล้วเบียร์มีหลากหลายชนิดอย่างที่เรียกได้ว่า
ถ้าจะให้บรรยายหมดคงใช้เวลาเป็นชาติค่ะ เพราะฉะนั้น
เราก็เลยคัดเบียร์มาบางประเภทให้ได้รู้กันแบบคร่าวๆก่อนแล้วกันนะคะ
เอล (Ales) หมักสั้น ค่อนข้างหวาน ให้ความรู้สึกเข้มข้นแล้วก็มีรสชาติออกผลไม้แบบฉ่ำๆ อย่าง Pale Ales (IPA) ที่คนไทยนิยมดื่มกัน จะมี hops มากขึ้นอีกเล็กน้อยและมีรสชาติที่ขมกว่า ซึ่งประเภทของเบียร์เอล มีตั้งแต่ Pale Ales, Wheat Beers, Bitters, Porters, Stouts, Barley Wines, Brown Ales, จนถึง Tripels แต่ต้องระวังสำหรับตัว Tripels ไว้นะคะเพราะมันหมักหลายครั้งมากและอาจะทำให้คุณเมาหัวฟาดพื้นเลยก็ได้
เอล (Ales) หมักสั้น ค่อนข้างหวาน ให้ความรู้สึกเข้มข้นแล้วก็มีรสชาติออกผลไม้แบบฉ่ำๆ อย่าง Pale Ales (IPA) ที่คนไทยนิยมดื่มกัน จะมี hops มากขึ้นอีกเล็กน้อยและมีรสชาติที่ขมกว่า ซึ่งประเภทของเบียร์เอล มีตั้งแต่ Pale Ales, Wheat Beers, Bitters, Porters, Stouts, Barley Wines, Brown Ales, จนถึง Tripels แต่ต้องระวังสำหรับตัว Tripels ไว้นะคะเพราะมันหมักหลายครั้งมากและอาจะทำให้คุณเมาหัวฟาดพื้นเลยก็ได้
ลาเกอร์ (Lagers)
หมักแบบช้าๆและให้รสชาติแบบ “Crispy” กว่าเอล
กล่าวคือเวลาดื่มแล้วเรายังมีรสชาติปลายลิ้นให้รู้สึกเคี้ยวๆได้น่ะค่ะ
และแน่นอนว่ามี hops น้อยกว่าเอลด้วย ลองคิดถึง Heineken, Bud Light,
Natural Light, Harp, Corona, Miller Genuine Draft สิคะ พวกนี้คือ
ไลท์ลาเกอร์ (Light Lagers) ทั้งนั้นเลย
นอกจากนี้เบียร์ประเภทลาเกอร์ยังรวมถึงเบียร์ Pilsner, Vienna Lagers, Bock
และ Marzens ด้วยค่ะ
สเตาทส์ (Stouts)
เบียร์ประเภทนี้อยู่ภายใต้ร่มเงาของเบียร์เอลนะคะ
แต่เขาจะมีรสชาติที่เฉพาะตัวค่ะ
เบียร์สเตาทส์จะค่อนข้างสีเข้มและให้รสชาติแบบครีมๆมันๆหน่อยผสมผสานกับรสชาติแฝงของช็อกโกแล็ตและกาแฟ
ตัวอย่างของเบียร์สเตาทส์ก็คือ Guinness, Beamish หรือ Samuel Smith
Oatmeal Stouts เป็นต้นค่ะ
บิทเท่อรส์ (Bitters)
เบียร์เอลอังกฤษนี้ให้สีออกทองแดงและรสชาติเข้มข้นของ hops
(หรือพูดง่ายๆว่าขมนั่นแหละ) ตามปกติแล้วจะมีรสชาติที่ค่อนข้างลุ่มลึกว่า
IPA
ประเด็นคือเบียร์บิทเท่อรส์ที่ว่านี้ให้คำจำกัดความของรสชาติค่อนข้างยากเพราะมันมีหลายประเภท
มีทั้งแบบขมธรรมดาและขมมาก ขมแบบนุ่มๆกับขมแรงๆ (หรือที่มักเรียกกันว่า
Extra Special Bitters หรือ ESB (จะขมไปไหน)
ส่วนประเภทสุดท้ายที่จะนำเสนอในวันนี้คือ วีทเบียร์ (Wheat Beers) หรือเรียกว่า Hefeweizen เป็นเบียร์เอลประเภทหนึ่งที่มีสีค่อนข้างอ่อน และบางครั้งก็มีรสชาติอ่อนๆของกล้วยและกานพลูด้วย บางครั้งก็อาจจะมีรสชาติเผ็ดเล็กน้อยหรือมีรสของแอปเปิ้ล ปกติแล้ววีทเบียร์จะไม่ค่อยมีรสชาติขมและมักเสิร์ฟกับมะนาวผ่าซีก
2. เลือกแก้วเบียร์ให้เหมาะ
เบียร์ก็เหมือนกับไวน์
ไวน์ยังมีแก้วแยกระหว่างไวน์แดงและไวน์ขาวฉันใด
เบียร์ก็ต้องมีแก้วแยกตามประเภทฉันนั้น
เพื่อสร้างกลิ่นและรสชาติที่ดีที่สุดให้แก่เบียร์ของคุณ
และนี่คือแก้วบางประเภทที่คนใช้กันบ่อยๆนะคะ
แก้ว Mug นี่แก้วแบบคลาสสิค แก้วแบบคิดอะไรไม่ออกก็เอาแก้วนี่แหละใส่เบียร์ จริงๆแล้วแก้วมัคแบบนี้เหมาะกับเบียร์ เช่น IPA, American Ales ทุกประเภท, Pilsner, English Stouts, Smoked Beer, Witbier, American and English Porters (จริงๆมันก็เกือบทุกประเภทล่ะเนอะ)
แก้ว Pint แก้วคลาสสิคอันดับสอง ไม่มีไอ้ตัวข้างบนนั่นก็เห็นหลายๆคนเอาแก้วนี่มาใส่แทน แก้วพินท์เหมาะกับเบียร์ เช่น พวก American Ales, IPA, Pale Ales, English Bitter and mild English Ales, Cream Ales, Dark Lager และ Stouts (นี่ก็เกือบทุกประเภทอีกเช่นกัน)
แก้ว Goblet อันนี้เคยเห็นอยู่บ้าง ตามร้านอาหารที่มีหลายๆสาขา อันนี้เหมาะกับเบียร์ IPA จากเบลเยียม, Strong and Dark Ales, Quadruples และ Tripels
แก้ว Pilsner อันนี้เห็นหลายคนและหลายร้านนำมาใส่เบียร์ค่อนข้างเยอะ แก้วประเภทนี้เหมาะกับเบียร์ Lagers จากเวียนนาและญี่ปุ่น เบียร์ Lagers แบบเข้มๆจากฝั่งยุโรป หรือว่าจะเป็น เหล้ามอลต์จากอเมริกา Pale and Red Lagers หรือ Doppelbocks ก็ได้ค่ะ
แก้วสุดท้ายแล้วคือแก้ว Weizen แก้วทรงนี้จะคล้ายแก้วไวน์แต่ขาสั้นค่ะ แก้วแบบนี้เหมาะสำหรับเบียร์ Dark and Pale Wheat Ales และเบียร์ Weizen ทั้งหมด
3. เลือกเบียร์ที่โดนให้เข้าคู่กับอาหารที่ใช่
เบียร์นี่ก็เหมือนกับไวน์นะคะ คือสามารถจับคู่กับอาหารได้ และสามารถใช้แนวคิดในการจับคู่อาหารแบบเดียวกันได้เลยคือ อาหารรสอ่อนอย่างสลัดหรือปลาก็ควรจะจับคู่กับเบียร์รสชาติอ่อน ในขณะที่อาหารหนักๆจำพวกเนื้อสัตว์จ๋าก็ควรจะจับคู่กับเบียร์ที่เข้มข้นขึ้น หรือคุณอาจจะจับคู่เบียร์กับอาหารที่มาจากประเทศเดียวกันก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องควรคำนึงอีกประมาณ 2 – 3 ข้อนะคะ
• เบียร์ที่เลือกมีรสชาติของคาราเมล โกโก้ หรือกาแฟหรือไม่? ถ้าใช่ – ลองจับคู่กับอาหารที่มีรสชาติของการรมควันหน่อยๆอย่างอาหารจำพวกปิ้งย่างดู
• เบียร์มีรสชาติของ hops ค่อนข้างเยอะหรือไม่? เพราะเบียร์ชนิดนี้จะทำให้อาหารประเภทมันๆอย่างแซลมอน พิซซ่า หรืออาหารจำพวกทอดขับรสชาติและกลิ่นสมุนไพรออกมาได้ด้วย
• แล้วถ้าเบียร์มีรสชาติหวานและฉ่ำล่ะ? อาหารจำพวกอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง องุ่น ชีส และบรูเช็ตตาก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน
รินเบียร์แบบมืออาชีพ
1. เก็บเบียร์ไว้ในที่เย็นชื้นและไม่มีแสงแดด
แน่นอนว่าวิธีที่ดีในการเก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทนั่นแหละค่ะคือการเก็บในที่เย็น ชื้น และไม่โดนแสงแดดโดยตรงหรือความร้อน แต่เอาจริงๆตามอุดมคติแล้ว – เบียร์ส่วนใหญ่ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิประมาณ 10 – 13 องศาเซลเซียส คือถ้าร้อนกว่านี้จะทำให้อายุของเบียร์สั้นลงค่ะ แต่ถ้าเย็นกว่านี้ก็จะทำให้เบียร์มีสีขุ่นได้ ถ้าตามหลักทางเทคนิคแล้ว การเก็บเบียร์ต้องเก็บตามอุณหภูมิดังต่อไปนี้ค่ะ
แน่นอนว่าวิธีที่ดีในการเก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทนั่นแหละค่ะคือการเก็บในที่เย็น ชื้น และไม่โดนแสงแดดโดยตรงหรือความร้อน แต่เอาจริงๆตามอุดมคติแล้ว – เบียร์ส่วนใหญ่ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิประมาณ 10 – 13 องศาเซลเซียส คือถ้าร้อนกว่านี้จะทำให้อายุของเบียร์สั้นลงค่ะ แต่ถ้าเย็นกว่านี้ก็จะทำให้เบียร์มีสีขุ่นได้ ถ้าตามหลักทางเทคนิคแล้ว การเก็บเบียร์ต้องเก็บตามอุณหภูมิดังต่อไปนี้ค่ะ
• เบียร์ที่มีรสชาติเข้มข้น หรือเบียร์หนักๆสตรองๆ อย่างพวก Barley Wines, Tripels หรือ Dark Ales ควรเก็บเบียร์ไว้ในอุณหภูมิห้องนะคะ ราวๆก็ประมาณ 13 – 15 องศาเซลเซียสค่ะ (เอ – แต่บ้านเราความเย็นประมาณนี้น่าจะไม่ใช่อุณหภูมิห้องซะแล้วนะคะ ประมาณตู้เย็นช่องล่างๆแล้วกันค่ะ
• แล้วถ้าเป็นเบียร์กลางๆไม่เข้มไม่อ่อนล่ะ? เบียร์พวกนี้จะประกอบไปด้วยเบียร์ Bitters, IPAs ทั้งหลาย, Dubbelbocks, Lambics, Stouts เป็นต้น พวกนี้ควรจะเก็บไว้ในอุณหภูมิแบบที่เรียกว่า “Cellar Temparature” ค่ะ ตามภาษาเหล้าคือเก็บห้องใต้ดินฟีลนั้น เย็นๆชื้นๆหน่อย ก็จะอยู่ราวๆ 10 – 13 องศาเซลเซียสค่ะ
• ส่วนเบียร์อ่อนๆเลยอย่าง Lagers, Pilsners, Wheat Beers หรือ Milds อะไรแนวๆนี้ ควรเก็บในตู้เย็นได้เลยค่ะ อุณหภูมิก็ต้องประมาณไม่สูงกว่า 7 – 10 องศาเซลเซียสนะคะ
หรือจะคิดให้ง่ายกว่านั้นอีกคือ เบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่า ควรเก็บในอุณหภูมิที่สูงกว่าค่ะ
2. ล้างแก้วให้เงาวับ
เรื่องของเรื่องเนี่ยก็คือว่า ถ้าล้างแก้วไม่สะอาดดีเนี่ย บางครั้งน้ำมันหรือรอยเปื้อนอาจจะทำให้รสชาติที่แท้จริงของเบียร์เปลี่ยนไปได้ค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว เพื่อให้แน่ใจ ควรล้างแก้วกับน้ำร้อน ใช้น้ำยาล้างจานร่วมด้วยได้หากจำเป็นค่ะ แล้วค่อยยกขึ้นส่องไฟว่ายังมีคราบน้ำมันหรือรอยเปื้อนตรงไหนเหลืออยู่อีกบ้างนะคะ ที่สำคัญคือ – แก้วเบียร์ก็คือแก้วเบียร์ อย่าผลัดกันใช้แก้วตามความสะดวกนะคะ ถ้านึกไม่ออกว่ารสชาติหรือกลิ่นเป็นอย่างไร ลองเทเบียร์ในแก้วที่ใส่นมเป็นประจำดูค่ะ
เรื่องของเรื่องเนี่ยก็คือว่า ถ้าล้างแก้วไม่สะอาดดีเนี่ย บางครั้งน้ำมันหรือรอยเปื้อนอาจจะทำให้รสชาติที่แท้จริงของเบียร์เปลี่ยนไปได้ค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว เพื่อให้แน่ใจ ควรล้างแก้วกับน้ำร้อน ใช้น้ำยาล้างจานร่วมด้วยได้หากจำเป็นค่ะ แล้วค่อยยกขึ้นส่องไฟว่ายังมีคราบน้ำมันหรือรอยเปื้อนตรงไหนเหลืออยู่อีกบ้างนะคะ ที่สำคัญคือ – แก้วเบียร์ก็คือแก้วเบียร์ อย่าผลัดกันใช้แก้วตามความสะดวกนะคะ ถ้านึกไม่ออกว่ารสชาติหรือกลิ่นเป็นอย่างไร ลองเทเบียร์ในแก้วที่ใส่นมเป็นประจำดูค่ะ
3. เอียงแก้วให้ได้ 45 องศา
ก็คงไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้นนะคะ แต่ว่าจริงๆแล้วเบียร์ที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดจะต้องมีส่วนประกอบของฟองเบียร์สูงประมาณ 1 ถึง 1 นิ้วครึ่ง หรือประมาณ 2.5 ถึง 3 เซ็นติเมตรค่ะ และเพื่อให้ได้หลักที่ว่านั้น เราจะต้องเอียงแก้ว 45 องศาขณะที่รินเบียร์ค่ะ ซึ่งการเทแบบนี้จะทำให้อากาศเข้าไปในเบียร์ เพื่อทำให้เกิดกลิ่นหอมที่ชัดเจนขึ้น และยังทำให้เบียร์รสชาติดีขึ้นด้วยนะคะ
ก็คงไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้นนะคะ แต่ว่าจริงๆแล้วเบียร์ที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดจะต้องมีส่วนประกอบของฟองเบียร์สูงประมาณ 1 ถึง 1 นิ้วครึ่ง หรือประมาณ 2.5 ถึง 3 เซ็นติเมตรค่ะ และเพื่อให้ได้หลักที่ว่านั้น เราจะต้องเอียงแก้ว 45 องศาขณะที่รินเบียร์ค่ะ ซึ่งการเทแบบนี้จะทำให้อากาศเข้าไปในเบียร์ เพื่อทำให้เกิดกลิ่นหอมที่ชัดเจนขึ้น และยังทำให้เบียร์รสชาติดีขึ้นด้วยนะคะ
4. ตั้งแก้วตรงแล้วเทต่อได้เลย
หลังจากที่รินในท่า 45 องศาแล้ว ก็รินในท่านั้นไปอีกประมาณครึ่งแก้วแล้วจับแก้วตั้งตรงแล้วรินต่อปกติค่ะ คุณจะได้ฟองเบียร์ด้านบนสวยๆมาในปริมาณที่พอดิบพอดีเลย ถ้ารู้สึกว่าฟองมาเร็วกว่าปกติ ให้ตั้งแก้วตรงไวกว่าปกติแล้วรินต่อ แต่ถ้าไม่มีฟองเลยก็ให้เอียงแก้วรินต่อไปอีกหน่อยค่ะ
หลังจากที่รินในท่า 45 องศาแล้ว ก็รินในท่านั้นไปอีกประมาณครึ่งแก้วแล้วจับแก้วตั้งตรงแล้วรินต่อปกติค่ะ คุณจะได้ฟองเบียร์ด้านบนสวยๆมาในปริมาณที่พอดิบพอดีเลย ถ้ารู้สึกว่าฟองมาเร็วกว่าปกติ ให้ตั้งแก้วตรงไวกว่าปกติแล้วรินต่อ แต่ถ้าไม่มีฟองเลยก็ให้เอียงแก้วรินต่อไปอีกหน่อยค่ะ
5. หรือจะใช้วิธี เท 2 รอบ
บางคนก็เชื่อว่าการรินเบียร์ 2 ครั้งจะทำให้กลิ่นหอมเพิ่มขึ้นและยังปล่อยรสชาติของเบียร์ออกมาด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงอยู่บ้างสำหรับเบียร์ Guinness นะคะ (และจะเวิร์คมากขึ้นหากทำแบบที่ว่านี้ในเมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์) วิธีทำง่ายมากค่ะ
• รินเบียร์รวดเดียวครึ่งแก้ว จะทำให้เกิดฟองในปริมาณมาก
• แล้วค่อยลดความเร็วลงเพื่อให้ฟองลดจำนวนลง
• จากนั้นหยุด แล้วรินใหม่เพื่อให้เกิดฟองสูงประมาณ 1 ถึง 1 นิ้วครึ่ง
บางคนก็เชื่อว่าการรินเบียร์ 2 ครั้งจะทำให้กลิ่นหอมเพิ่มขึ้นและยังปล่อยรสชาติของเบียร์ออกมาด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงอยู่บ้างสำหรับเบียร์ Guinness นะคะ (และจะเวิร์คมากขึ้นหากทำแบบที่ว่านี้ในเมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์) วิธีทำง่ายมากค่ะ
• รินเบียร์รวดเดียวครึ่งแก้ว จะทำให้เกิดฟองในปริมาณมาก
• แล้วค่อยลดความเร็วลงเพื่อให้ฟองลดจำนวนลง
• จากนั้นหยุด แล้วรินใหม่เพื่อให้เกิดฟองสูงประมาณ 1 ถึง 1 นิ้วครึ่ง
ดื่มเบียร์แบบถูกวิธี
1. มองเบียร์ ใช่แล้วค่ะ – มองเข้าไปค่ะ มองให้ถึงแก่นแท้ของเบียร์ที่คุณชอบเลยค่ะ ดูสีและบอดี้ของเบียร์ ง่ายๆก็คือยกขึ้นให้อยู่ในระดับสายตาเลยค่ะ แต่ไม่ต้องส่องกับไฟนะคะเพราะจะทำให้สีเบียร์ของคุณจางกว่าปกติ ทีนี้สิ่งที่คุณจะสังเกตเห็นก็คือ• ดูฟองและความมันเลยค่ะ ดูว่าฟองหายไปเร็วหรือไม่
• ดูสีค่ะ สีอะไรระหว่าง สีทองมั้ย ออกแดงหรือเปล่า หรือสีออกน้ำตาล
• ดูความข้น ความมัน ข้นมากข้นน้อย สีออกขุ่นหรือใสๆ เป็นต้นค่ะ
2. คลอแก้วเบียร์ หมุนวนๆสักเล็กน้อยนะคะ เหมือนๆกับที่หมุนแก้วไวน์เลยค่ะ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้กลิ่นหอมของเบียร์ถูกปล่อยออกมา และจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างเบียร์แต่ละแก้วและทิ้งรสสัมผัสที่ปลายลิ้น
3. ดม ดมเลยค่ะสูดแรกเข้าจมูกเลยค่ะ แล้วลองนึกดูว่าได้กลิ่นอะไรบ้าง ผลไม้มั้ย? ขนมปัง? หรือว่าช็อกโกแล็ต? จากนั้นอ้าปากค่ะ เหมือนหายใจทางปากเลยค่ะ สูดกลิ่นจากทางปาก (ได้กลิ่นนะคะอย่าล้อเล่นไป) แล้วดูว่ากลิ่นเปลี่ยนไปหรือไม่
4. เริ่มจิบเพื่อชิม เริ่มจากจิบแรกก่อนนะคะ แต่อย่าเพิ่งกลืน แล้วกลั้วเบียร์ให้ทั่วทั้งปาก กระพุ้งแก้ม และลิ้นก่อนค่ะ เพื่อให้ภายในช่องปากได้รับรสของเบียร์อย่างเต็มที่ หลังจากนั้นก็หายใจออก ทีนี้ก็ค่อยรับรสว่าหลังจากที่โดนความอุ่นภายในร่างกายแล้ว รสชาติเบียร์มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่นะคะ หลังจากนั้นค่อยกลืนค่ะ แล้วลองซ้ำอีกเพื่อดูว่าในทุกครั้งที่จิบ รสชาติเริ่มเปลี่ยนไปหรือไม่จนกระทั่งก้นแก้วเลยค่ะ
5. ดื่มให้หมด! อย่าปล่อยให้เบียร์หายเย็นค่ะ ถ้าคุณดื่มจากขวด แล้วคุณปิดฝาเพื่อรอดื่มอีก รสชาติเบียร์จะเสียไปนะคะ เพราะฉะนั้น หากเปิดขวดเพื่อดื่มแล้ว ดื่มให้หมดไปเลยค่ะ
• อันที่จริงแล้วเบียร์เย็นๆเนี่ย บางครั้งการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิก็ทำให้รสชาติเปลี่ยนเหมือนกันนะคะ ถ้าลองปล่อยให้เบียร์หายเย็นอีกหน่อยคุณจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านดี แต่ประเด็นก็คือมันจะมีเส้นบางๆที่คั่นอยู่ระหว่างรสชาติดีเว่อร์กับแย่ไปเลยถ้าปล่อยให้เบียร์หายเย็นน่ะค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับ Beer Sciences 101 ในวันนี้ อันที่จริงถ้าไม่ได้ทำตามเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วก็ไม่เป็นไรนะคะ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดื่มเบียร์คือเราต้องรู้สึกสนุกไปกับมันค่ะ เบียร์ บาซูก้าขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการดื่มเบียร์ดีๆในวันนี้นะคะ
เอ้าชน!
สั่งซื้อเบียร์ออนไลน์ได้ที่ www.beerbazuka.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น